Lion (2016)

 

Lion (2016)
Directed by Garth Davis

 

เรื่องย่อ:

ซารู พลัดหลงกับพี่ชาย กุดดู ที่สถานีรถไฟ จนสุดท้ายเด็กชายวัยห้าขวบต้องเผชิญเมืองใหญ่ในกัลกัตตาเพียงลำพัง ซึ่งห่างจากบ้านเป็นระยะทางถึง 1,500 กิโลเมตร โชคยังดีที่ซารูไม่ได้จบชีวิตข้างถนนเหมือนเด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่ เพราะสองสามีภรรยาชาวออสเตรเลียได้รับอุปการะเขาไว้ แต่เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ช่วยเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ เพราะซารูยังคงนึกถึงแม่และพี่ชายที่พลัดพรากอยู่เสมอ

 

แก้วตาให้: ★★★★☆

ตอนแรกค่อนข้างขัดใจกับการที่หนังเลือกเล่าเรื่องราวตามลำดับ 1-2-3-4 ตั้งแต่ซารูยังเด็กไล่ไปยันโต ซึ่งทำให้รู้สึกว่าดำเนินเรื่องช้าเกินความจำเป็นในหลายช่วง แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อจนเกินไป เพราะช่วยทำให้เห็นอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี ตามขนบหนังชีวิตแนวดราม่า

 

การที่ “Lion” สร้างจากชีวิตจริงที่ Saroo Brierley บันทึกไว้ในหนังสือ “A Long Way Home” ช่วยตอกย้ำให้ผู้ชมรับรู้ว่าสิ่งที่กำลังเห็นบนหน้าจอนี้เคยเกิดขึ้นจริง ไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการ และถึงแม้ว่าจะคาดเดาตอนจบได้ไม่ยาก แต่คนดูก็พร้อมเอาใจช่วยและร่วมลุ้นไปกับการเดินทางของตัวละครในเรื่อง จนแทบจะทะลุจอไปช่วยเซิร์จ Google Earth แทน

 

สิ่งที่ช่วยชูโรง “Lion” อย่างมากคงหนีไม่พ้นการแสดงชั้นดีของนักแสดงมืออาชีพหลายคน ไม่ว่าจะเป็นบทนำอย่าง ซารู ที่สวมบทโดยนักแสดงหนุ่ม เดฟ ปาเตล (Dev Patel) จาก “Slumdog Millionnaire” ที่ตอนนี้ดูโตขึ้นและฮ็อตขึ้นมากมาย รวมถึง ซารูน้อย ที่แสดงโดย ซันนี่ ปาวาร์ (Sunny Pawar) วัย 8 ขวบ นอกจากนั้นยังมี นิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) ที่มารับบทเป็นคุณแม่บุญธรรมผู้อารี ซึ่งเธอก็ตีบทแตกกระจุย และขอรวมบทเล็กๆ ของ รูนีย์ มาร่า (Rooney Mara) ที่รับบทเป็น ลูซี่ แฟนสาวของซารูไว้ด้วย เพราะไม่ว่าเธอจะออกมาฉากไหนก็ชวนดึงดูดสายตาอยู่เสมอ

 

 

“Lion” สะท้อนถามถึงความหมายที่แท้จริงของ “ครอบครัว” และตัวตนของผู้ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างวัฒนธรรม รวมไปถึงประเด็นการอุปการะเด็ก ซึ่งอาจฟังดูเพ้อฝัน แต่ก็เป็นแนวคิดที่สวยงามและมีความหวังสำหรับมนุษยชาติ โดยการนำเสนอผู้หญิงในเรื่องนี้ยังทำได้อย่างน่าสนใจมาก เพราะแม้ดูเหมือนเป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ ในการเดินทางอันยาวนานของซารู แต่ทั้งแม่ผู้ให้กำเนิด แม่บุญธรรม และคู่ชีวิตของเขา ต่างแข็งแกร่ง รักและเข้าใจเขา และพร้อมส่งพลังให้เสมอ

 

ถือได้ว่า Garth Davis เปิดตัวผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกได้ผ่านฉลุย แถมยังได้ร่วมงานกับช่างภาพมือดีอย่าง Greig Fraser ที่เพิ่งถ่ายให้หนังภาคแยกของมหากาพย์สตาร์วอรส์อย่าง “Rogue One” มาหมาดๆ โดยตอนจบของ “Lion” ยังมีฉากชวนซึ้งน้ำตาไหลอีกด้วย จนทำให้รู้สึกว่าตา Garth Davis นี่นอกจากจะหน้าตาดี ทำหนังดีแล้ว ยังจิตใจดีอีกด้วยนะเนี่ย

 

แก้วตา
30.12.16