Fantastic Beasts and Where to Find Them (2016)
Fantastic Beasts and Where to Find Them (2016)
Directed by David Yates
เชื่อว่าสาวกหนังสือหรือภาพยนตร์ซีรี่ส์ของ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” หลายคนคงตั้งตารอชม “Fantastic Beasts and Where to Find Them (ชื่อไทย: สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่)” เพราะนอกจากจะเป็นการหวนกลับไปยังโลกเวทมนตร์อันคุ้นเคยแล้ว นี่ยังถือครั้งแรกที่ เจ.เค.โรว์ลิง โชว์ฝีมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
“Fantastic Beasts and Where to Find Them” เล่าเรื่องราวย้อนไปยังยุค 1920s เมื่อ “นิวท์ สคามันเดอร์ (Newt Scamander)” นักสัตว์วิเศษวิทยาชาวอังกฤษได้เดินทางไปปฏิบัติการลับในนิวยอร์ก พร้อมกับกระเป๋าที่ซุกซ่อนสัตว์วิเศษนานาชนิดไว้ข้างใน แต่เส้นทางก็ไม่ได้ราบรื่นเมื่อมีสัตว์วิเศษหลุดออกไป แถมเขายังถูกจับได้โดยมือปราบมาร “ทีน่า โกลด์สไตน์ (Tina Goldstein)” ก่อนจะนำตัวไปที่สภาเวทมนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (MACUSA) ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ทั้งการที่กลุ่ม Second Salemers (ซาเล็มที่สอง) พยายามเปิดเผยการมีอยู่ของชุมชนพ่อมดแม่มดและเรียกร้องให้กำจัดชนกลุ่มน้อยนี้เสีย รวมถึงการที่พ่อมดแห่งศาสตร์มืด “เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (Gellert Grindelwald)” หายตัวไปอย่างลึกลับ หลังสร้างหายนะในยุโรป
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สาวก “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ผู้ชมก็สามารถเข้าใจเรื่องได้เป็นอย่างดี จากการผูกเรื่องที่ดูเพลินและชวนติดตามของ เจ.เค.โรว์ลิง และการกำกับของ เดวิด เยตส์ ที่ได้กำกับหนังจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อดังถึง 5 ตอน แต่แน่นอนว่าถ้าใครเคยอ่านหรือดู “แฮร์รี่ พอตเตอร์” มาก่อน ก็จะยิ่งอินและฟินมากขึ้นเวลาได้ยินชื่อตัวละครหรือสถานที่ที่คุ้นเคย ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมของโลกเวทมนตร์ที่นักเขียนชาวอังกฤษสร้างสรรค์ขึ้นได้อย่างบรรเจิด
ด้วยบริบทของเรื่องที่เล่าถึงชุมชนเวทมนตร์ในอเมริกาทำให้บรรยากาศดูจริงจังและเข้มข้นขึ้นกว่าการเล่าถึงชีวิตรอบรั้วฮอกวอตส์ โดยมีการสะท้อนสังคมในยุค “Roaring Twenties” ที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังอยู่ในขาขึ้น และทำให้เกิดพัฒนาการด้านวัฒนธรรมมากมาย รวมถึงการที่ผู้หญิงเริ่มมีบทบาททางสังคม มีสิทธิลงคะแนนเสียง และมั่นใจในความเป็นสตรีมากขึ้น ซึ่งอาจเห็นได้จากการที่แม่มดหญิงแกร่ง “เซราฟินา พิกคิวรี (Seraphina Picquery)” ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของ MACUSA เปรียบกับโลกของ No-Maj (คนที่ไม่มีเวทมนตร์ / เป็นคำที่คนอเมริกันเรียกมักเกิ้ล-Muggle) ซึ่งถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีสตรีคนไหนได้ขึ้นแท่นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลย
นอกจากนั้นเนื้อเรื่องยังสอดแทรกประเด็นสำคัญที่คล้ายกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” นั่นคือ ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่บางครั้งความชั่วร้ายก็มาในรูปแบบของความดีงาม รวมถึงการลบเลือนอคติของผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัตว์บางชนิดที่ดูน่ากลัว หรือผู้คนที่แตกต่าง (มีเวทมนตร์หรือไม่มี) แต่แท้จริงแล้วหากเรารู้จักเปิดใจ พยายามเข้าใจสิ่งนั้นอย่างแท้จริง และไม่ล้ำเส้นกรอบที่กำหนดไว้ น่าจะช่วยให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และไม่ต้องคอยระแวงกันอย่างที่เห็นหลายแห่งบนโลกมนุษย์ใบนี้
แต่ถึงอย่างนั้น “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ก็ไม่ได้เคร่งเครียดจนเกินไป เพราะมีหลายฉากที่ทำให้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นความน่ารักของเหล่าสัตว์วิเศษนั่นเอง นอกจากนั้นยังมีความโรแมนติกสอดแทรกเข้ามา จนบางช่วงบางตอนแอบนึกถึงแอนิเมชั่นญี่ปุ่นกระแสดีอย่าง “Your Name” ขึ้นมาซะอย่างนั้น และที่สำคัญคือมีเซอร์ไพรส์ในเรื่องด้วย ซึ่งขออุบไว้ให้ไปติดตามในโรงภาพยนตร์จะดีกว่า แต่ในรอบที่ดูนั้นมีหลายคนส่งเสียงฮือฮาแถมปรบมือให้ฉากนั้นอีกด้วย
ด้านนักแสดงถือว่าหายห่วง เพราะหลายคนมีรางวัลการันตีคุณภาพอยู่แล้ว โดยเฉพาะ “เอ็ดดี้ เรดเมย์น (Eddie Redmayne)” เจ้าของรางวัลออสการ์จาก “The Theory of Everything” ที่สวมบทบาท “นิวท์” ได้อย่างมีเสน่ห์ ดูแล้วรู้สึกได้ว่านักสัตว์วิเศษวิทยาคนนี้มีจิตใจดี แต่แอบแฝงความแปลกและความเนิร์ดไว้ในตัว
สำหรับเทคนิคพิเศษก็สวยงามและสมจริงทีเดียว ยิ่งดูในระบบ IMAX จะยิ่งฟิน เพราะเหมือนยกโลกเวทมนตร์มาไว้อยู่ตรงหน้า แค่ต้องระวังสักเล็กน้อยว่าพอถึงฉากน่ากลัวอาจจะสะดุ้งได้ และไม่ควรนั่งแถวหน้าจนเกินไปเพราะจะทำให้มึนหัวอย่างแรง
ด้านเพลงประกอบก็ได้ “เจมส์ นิวตัน โฮเวิร์ด (James Newton Howard)” นักแต่งเพลงฝีมือดีชาวอเมริกันที่เคยทำเพลงประกอบให้ซีรี่ส์หนัง “The Hunger Games” มาสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งนอกจากจะสร้างสรรค์บทเพลงที่เสริมอารมณ์เรื่องได้อย่างน่าชื่นชมแล้ว ยังนำท่อนโมทีฟที่เคยได้ยินในภาพยนตร์ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” (โดยเฉพาะ 3 ภาคแรกที่ “จอห์น วิลเลียมส์” ประพันธ์ให้) มาสอดแทรกเป็นระยะ ให้สาวกหนังพ่อมดน้อยได้พอคุ้นหู แต่ก็ไม่นำมาใส่เกินความจำเป็น ดังเช่นในเทรลเลอร์
“Fantastic Beasts and Where to Find Them” เป็นเพียงปฐมบทของซีรี่ส์ของนักสัตว์วิเศษวิทยา “นิวท์ สคามันเดอร์” ที่จะมีทั้งหมด 5 ภาค ซึ่งน่าติดตามว่าเสียงตอบรับภาพยนตร์ชุดนี้จะดีเท่า “แฮร์รี่ พอตเตอร์” หรือไม่ แต่เชื่อได้ว่าเหล่ามักเกิ้ลหรือโนแมจที่โหยหาสิ่งวิเศษบนโลกอันแสนธรรมดาใบนี้ คงอยากจะเห็นโลกแห่งเวทย์มนตร์โลดแล่นบนแผ่นฟิล์มอีกสักครั้ง
แก้วตา
19.11.16