องค์บาก ไลฟ์ โชว์ (2017)
องค์บาก ไลฟ์ โชว์ (2017)
★★½☆☆
เมื่อเศียรพระพุทธรูปที่ชาวบ้านเคารพนับถือถูกขโมยไป บุญทิ้งจึงอาสาเข้ากรุงเทพฯ เพื่อนำเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคนในหมู่บ้านกลับมาให้ได้ โดยระหว่างทางก็ได้พบกับสองพี่น้องนักมายากลที่จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมในการตามหาเศียรพระพุทธรูปครั้งนี้
“องค์บาก ไลฟ์ โชว์” ได้จับแก่นและเส้นเรื่องของภาพยนตร์เรื่อง “องค์บาก” ภาคแรกในปี 2546 มาสร้างสรรค์ในรูปแบบโชว์สตันท์ที่เปิดแสดงยาวตลอดทั้งปี ซึ่งถือได้ว่าแปลกใหม่ เพราะไม่เคยมีโชว์รูปแบบนี้มาก่อนในไทย แถมยังเป็นการต่อยอดทางธุรกิจให้กับภาพยนตร์ในแนวทางใหม่ นอกเหนือจากนำไปทำเป็นละคร ภาคต่อ หรือของที่ระลึก
การแสดงดำเนินไปอย่างค่อนข้างกระชับภายในหนึ่งชั่วโมง โดยทุ่มเวลาให้กับการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ฉากตลก สลับฉากบู๊ที่เล่นจริง เจ็บจริง ไม่ต่างจากในภาพยนตร์ ซึ่งหลายฉากจัดคิวบู๊ได้ดูสนุก เช่น ฉากบนต้นไม้ และฉากสู้รัวๆ ในผับ เห็นได้ชัดว่าทีมสตันท์มีความเชี่ยวชาญและฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี โดยผู้แสดงส่วนใหญ่มาจากพันนาสตันท์ ที่สืบทอดผลงานต่อจากพันนา ฤทธิไกร อดีตสตันท์แมนแถวหน้าของไทย ที่เคยฝากฝีมือกำกับคิวแอคชันในภาพยนตร์ “องค์บาก” นอกจากนั้นด้วยเทคนิคที่ลงทุนไปกว่า 300 ล้านบาทก็ช่วยให้โชว์ไม่จืดชืดจนเกินไป โดยเฉพาะฉากตัดเศียรพระ ฉากรถตุ๊กๆ หรือฉากไล่ล่าต่อสู้ตามสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ แต่บางฉากก็ทำไม่ยังไม่ค่อยสมจริงเท่าไรนัก เช่น ฉากสู้ในโกดังแล้วมีน้ำหยด
แม้จะไม่มีบทสนทนา แต่เรื่องราวก็ไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่เคยชมภาพยนตร์มาก่อน แต่อาจจะมีงงได้บ้างว่าตัวละครอยู่ในยุคไหน ทำไมมีฉากการแสดงแต่งตัวย้อนยุคแล้วโดดมาเจอชุดวับๆ แวมๆ ของผู้คนภายใต้แสงสีของเมืองกรุง
ปัญหาของ “องค์บาก ไลฟ์ โชว์” คือ บทที่ยึดตามภาพยนตร์และขนบไปหน่อย ซึ่งสำหรับคนที่เคยชม “องค์บาก” มาแล้วก็อาจไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่ นอกจากนั้นผู้แสดงยังส่งพลังไปไม่ถึงผู้ชม เพราะขนาดเรานั่งอยู่แถวค่อนข้างหน้า (แถวที่ 11 จากเวที) ยังไม่รู้สึกว่าถูกตรึงเข้ากับโชว์เท่าที่ควร ซึ่งหากได้เห็นช็อตแอคชั่นชัดๆ เน้นๆ กว่านี้คงจะดี เพราะนี่คือจุดขายของการแสดง โดยนักแสดงบางคนยังโปรเจกต์เสียงได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้ฟังได้ไม่ชัดเจน ซึ่งที่เสียดายที่สุดคือประโยคเด็ดอย่าง “Fuck Muay Thai!”
ด้านของดนตรีนั้นทำได้ดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่ก็เยอะและดังเกินไปในหลายฉากจนกลบการแสดงตรงหน้าไปหมด บางเพลงก็ดูเหมือนแต่งยังไม่จบห้องดนตรี ซึ่งผู้แต่งอาจตั้งใจให้ฟังชวนลุ้น แต่พอฟังแล้วรู้สึกประหลาดและสงสัยว่าคนคุมคิวเพลงปิดเร็วกว่าจังหวะรึเปล่า โดยเสียงประกอบในบางฉากก็เปิดไม่ตรงกับท่าทางของผู้เล่น รวมถึงฝ่ายเวทีเองก็มีจังหวะที่มายืนเก้ๆ กังๆ รอเปลี่ยนฉากอย่างเห็นได้ชัดจากข้างเวที แต่เชื่อว่าหากเปิดแสดงไปสักพักน่าจะลงตัวกว่านี้
โดยรวมแล้ว “องค์บาก ไลฟ์” เป็นโชว์ที่ดูเพลิน มีทั้งฉากบู๊เร้าใจ และฉากตลกโปกฮา แต่ก็ยังไม่มีอะไรน่าจดจำมากพอที่จะทำให้คนดูไปบอกต่อกันด้วยอารมณ์ตื่นเต้น คล้ายกับเล่นเกมตะลุยด่านไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดพีคเท่าไร ซึ่งถ้าหากมีการใส่คำเด็ดๆ ที่เป็นออริจินัลของโชว์ลงไป หรือมีท่าต่อสู้ง่ายๆ ที่ตัวละครใช้บ่อยๆ มาเป็นกิมมิคก็น่าจะดี เพื่อให้ผู้ชมสามารถไปพูดต่อหรือทำท่าอวดคนอื่นได้หลังจบการแสดง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการแสดงนี้อาจจะดูสนุก ตื่นเต้น และเวิร์กสำหรับชาวต่างชาติก็ได้ เพราะดูแค่โชว์เดียวได้ครบทั้งมวยไทย มายากล และการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ซึ่งก็อยากให้โชว์นี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดี เพื่อที่จะได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น
สำหรับ Ultra Arena สถานที่จัดแสดงบริเวณชั้น 6 ของ Show DC พระราม 9 ถือว่าเป็นสถานที่จัดการแสดงที่สมบูรณ์ทีเดียวทั้งระบบไฟ แสง สี เสียง ที่เอื้อต่อเทคนิคพิเศษต่างๆ การจัดผังที่นั่งก็ดี ไม่มีการบังกัน และมีพื้นที่ระหว่างเก้าอี้อย่างพอเหมาะ โดยตอนนี้ร้านค้ายังเปิดไม่ค่อยมากและดูเงียบทีเดียว แต่ก็เดินทางสะดวกโดยการลงรถไฟใต้ดินที่สถานีเพชรบุรี และต่อมอเตอร์ไซค์เข้าไปประมาณ 30 บาท ส่วนรถ shuttle bus ที่ศูนย์การค้าจัดให้นั้นจะแวะตามโรงแรมด้วย จึงไม่ควรใช้บริการถ้าหากรีบ
“องค์บาก ไลฟ์” แสดงเวลา 20.00 น. ทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ที่ Show DC ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊ก
ป.ล. การแสดงไม่ค่อยมีฉากเศร้า แต่มาซึ้งตอนปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับ “องค์บาก” ทั้งเวอร์ชั่นภาพยนตร์และไลฟ์โชว์ ขึ้นมาพูดหลังจบการแสดงอย่างตื้นตันว่า “เห็นหน้าพันนาลอยมาเลย”
แก้วตา
11.02.17