สันติ-วีณา (2497)
ถ้าใครติดตามข่าวสารในวงการภาพยนตร์ คงพอรับรู้ถึงการตามหาฟิล์มหนังเรื่องนี้ที่สูญหายไปนาน 62 ปี ซึ่งในที่สุดก็มีการค้นพบฟิล์มสำเนาอยู่ที่อังกฤษ รัสเซีย และจีน ทางหอภาพยนตร์ฯ ของไทยจึงส่งไปบูรณะที่อิตาลีให้มีความละเอียดสูงสุดระดับ 4K โดยได้ไปฉายเปิดตัวที่เทศกาลคานส์ ในสาย Cannes Classics เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
สันติ-วีณา กำกับโดย มารุต (ทวี ณ บางช้าง) และเป็นหนังเรื่องแรกของหนุมานภาพยนตร์ที่ก่อตั้งโดย รัตน์ เปสตันยี ผู้กำกับไทยคนแรกที่คว้ารางวัลในระดับนานาชาติจากผลงานหนังสั้นเรื่อง “แตง” ในหนังยาวเรื่องนี้รัตน์ได้ร่วมอำนวยการสร้างและถ่ายภาพอีกด้วย โดยตั้งใจใช้ฟิล์มขนาด 35 มม. ถ่ายทำเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับวงการหนังไทยที่ตอนนั้นมักใช้ฟิล์ม 16 มม. ซึ่งมีราคาถูกแต่ด้อยคุณภาพ หลังจากนั้นหนังเรื่องนี้ได้ไปสร้างหมุดหมายให้กับประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยด้วยการคว้า 3 รางวัลจากเทศกาลนานาชาติแห่งเอเชียอาคเนย์ ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยม กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และรางวัลพิเศษจากการถ่ายทอดวัฒนธรรมเอเชียได้เป็นอย่างดี
การได้กลับมาฉายบนจอใหญ่ในไทยอีกครั้งที่เทศกาลเมื่อครั้งเสด็จฯ ทอดพระเนตรภาพยนตร์ ก็ทำให้ที่นั่งกว่า 800 ที่ในโรงหนังสกาลาแน่นขนัด
สันติ-วีณา เล่าเรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มตาบอดฐานะยากจนที่ต้องไปอยู่กับหลวงตา กับสาวแกร่งที่คอยช่วยเหลือและปกป้องเขามาตั้งแต่เด็ก แม้เนื้อเรื่องอาจพอเดาทางได้ แต่ก็ดูเพลินและไม่ได้เป็นไปตามขนบจนเลี่ยนด้วยบทพูดแสนคมและแสบสัน ซึ่งคนในยุคปัจจุบันอาจรู้สึกตลกบ้างกับเสียงพากย์ที่ดูไม่ค่อยเข้ากับตัวละครนัก นอกจากนั้นการถ่ายทอดสภาพบ้านเมืองในยุคนั้นยังทำได้อย่างเรียบง่ายแต่น่าตื่นตาทั้งบรรยากาศในห้องเรียน บ้านเรือน ท้องทุ่ง การร้องรำในช่วงลอยกระทง งานบวช งานแต่ง ไปจนถึงงานศพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความผูกพันระหว่างพุทธศาสนาและสังคมไทยตั้งแต่ในอดีตได้เป็นอย่างดี เมื่อผสานกับการถ่ายภาพและจัดองค์ประกอบศิลป์ที่สวยงาม รวมถึงดนตรีประกอบจากฝีมือครูนารถ ถาวรบุตรแล้ว ยิ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติ
สิ่งที่น่าสนใจคือตัวละครหญิงในหนังของรัตน์ เปสตันยี ที่มักมีความล้ำสมัยอยู่เสมอ สังเกตจากหนังลำดับถัดๆ มาอย่าง โรงแรมนรก (2500) กับบท เรียม หญิงสาวลึกลับท่าทางจัดจ้านที่รู้จักใช้ความเป็นหญิงให้เป็นประโยชน์ เนียร สาวยากจนที่ปลอมตัวเป็นชายเข็นขยะจาก สวรรค์มืด (2501) และบทสาวหม้ายลูกติดในเรื่อง แพรดำ (2504) ฟิล์มนัวร์เรื่องแรกของไทย
สำหรับวีณานั้นก็อาจเรียกได้ว่าเป็นสตรีผู้มาก่อนกาล เพราะเธอออกตัวแรงมากว่าชอบสันติตั้งแต่ยังเด็ก เลยคอยดูแลปกป้องไม่ให้ใครมารังแก แถมยังเอาใจใส่แบบถึงเนื้อถึงตัวตลอด ไม่ว่าจะเป็นการชิงจูบก่อน หรือแม้แต่การกล่าวประโยคเด็ด “อีกไม่นานสันจะเป็นผัว ส่วนฉันก็จะเป็นเมีย” จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้เป็นคู่รักกันสมใจ(วีณา) แม้ว่าเธอจะไม่ใส่ใจความบกพร่องทางร่างกายและความยากจนของสันติ แต่เรื่องนี้กลับเป็นอุปสรรคที่ทำให้ครอบครัววีณาพยายามกีดกันความรักของทั้งคู่ และบังคับให้เธอแต่งงานกับไกร หนุ่มนักเลงข้างบ้านที่ดูเหมือนจะดูแลเธอได้ดีกว่า (ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่เห็นว่าไกรจะทำงานอะไร นอกจากป่วนไปวันๆ ส่วนสันติยังหาเลี้ยงชีพได้ด้วยการทำตะกร้าสาน) แน่นอนว่าวีณาได้ต่อต้านทุกวิถีทางทั้งการยืนยันความรักของเธอ หรือแม้แต่วางแผนหอบเงินหมั้นไปใช้ชีวิตคู่กับสันติ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดยหลังจากนั้นวีณาก็ยังคงยืนยันในความรักของเธอต่อสันติ และพร้อมจะสละทุกอย่างเพียงแค่เขาเอ่ยปาก สุดท้ายแล้วแม้ต้องเจ็บปวด แต่วีณาก็ยอมรับและเคารพการตัดสินใจของสันติ และก็มั่นใจได้ว่าเธอจะยังคงจะรักและช่วยเหลือเขาต่อไปไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม
ความแกร่งและทุ่มเทของวีณาสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงของสันติที่ดูยังไม่มั่นใจนักว่าความรักคืออะไร หรือแค่รู้สึกดีที่มีวีณาอยู่ด้วย และเมื่อถูกพรากจากกัน สันติได้ตัดสินใจทำร้ายตัวเองเพื่อแก้ปัญหา ในขณะที่วีณาเลือกที่จะก้าวต่อไปโดยยังคงยืนยันในความรู้สึกตัวเองอยู่ ซึ่งนอกจากจะรักสันติแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าวีณาก็รักและให้เกียรติตัวเองมากพอที่จะไม่ทำร้ายตัวเอง
นักแสดงในเรื่องดูมีเสน่ห์แบบธรรมชาติมากทั้งพระเอก พูนพันธ์ รังควร และนางเอก เรวดี ศิริวิไล ซึ่งแสดงออกมาได้อย่างแก่นแก้วแต่พอถึงบทซึ้งก็ทำได้ดี นอกจากนั้นยังได้เห็นภาพนักแสดงเดินเท้าเปล่ากันตลอดซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังไทย
สันติ-วีณา เตรียมกลับมาฉายในโรงหนังอีกครั้งวันที่ 28 – 31 กรกฏาคมนี้ ที่เอสเอฟ เซ็นทรัลเวิลด์ ติดตามรายละเอียดได้ที่แฟนเพจ
แก้วตา
16.07.16