Rogue One: A Star Wars Story (2016)

 

Rogue One: A Star Wars Story (2016)
Directed by Gareth Edwards


เรื่องย่อ:
นานมาแล้ว ณ จักรวาลอันไกลโพ้น ฝ่ายกบฎได้จับตัว จิน เออร์โซ (Jyn Erso – แสดงโดย Felicity Jones) และมอบหมายให้เธอหาทางขโมยพิมพ์เขียว “ดาวมรณะ (Death Star)” ซึ่งเป็นอาวุธใหม่อันทรงพลังของฝ่ายจักรวรรดิกาแล็กติกมาให้ได้ โดยร่วมมือกับกัปตันแคสเซียน แอนดอร์ (Cassian Andor – แสดงโดย Diego Luna)

เหตุผลที่ทำให้เธอจับพลัดจับผลูมานำทีมภารกิจเสี่ยงตายนี้ก็เพราะพ่อของเธอที่พลัดพรากจากเธอไปตั้งแต่ยังเด็กเป็นคนสร้างอาวุธร้ายนี้ขึ้นมา

ถ้าเป็นสาวก Star Wars ก็น่าจะรู้กันดีว่า “Rogue One” เป็นภาคแยกของอภิมหากาพย์ภาพยนตร์อวกาศชุดนี้ โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เป็นจุดเชื่อมไปยังภาคแรกฉบับดั้งเดิม “Star Wars: Episode IV – A New Hope” ในปี 1977

 

แก้วตาให้: ⭐⭐⭐⭐⭐

Source: www.StarWars.com
Source: www.StarWars.com


แม้ไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่เราก็ดู Star Wars มาหลายภาค โดยเฉพาะภาคที่ทำมาในระยะ 10 ปีให้หลังนี้ คือไตรภาค Prequel (Ep.I-III) และอีก 1 ภาค Sequel (Ep.VII) จึงทำให้คุ้นและเข้าใจบรรยากาศของหนังและตัวละครในแฟรนไชส์นี้ประมาณหนึ่ง แต่ปัญหาสำคัญข้อหนึ่งของคนดู Star Wars พันธุ์ทางแบบเราก็คือ เราจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหรือหลังภาคที่กำลังดูอยู่ไม่ได้ วิธีแก้ก็คือพอจะดูภาคใหม่ทีก็ไปหาอ่านเรื่องย่อภาคเก่าๆ ที หรือไม่ก็อ่านหลังจากดูจบแล้ว เลยจะได้อรรถรสแค่หน้างาน คือสนุกไปกับการดูหนังในแต่ละภาคมากกว่าที่จะฟินกับมหากาพย์ในองค์รวม

การที่ “Rogue One” เป็นภาคแยกที่ไม่ต้องเชื่อมโยง GAT PAT กับภาคอื่นๆ มากนัก แถมยังจบภายในเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ จึงตอบโจทย์เราได้เป็นอย่างดี และช่วยให้อิ่มเอมกับตัวหนังในฐานะหนังแอคชั่น-อวกาศได้อย่างแท้จริง และชื่นชมผู้กำกับ Gareth Edwards (เคยกำกับ “Godzilla” ปี 2014) ทีเดียวที่แม้จะพยายามคงความเป็น Star Wars ไว้ แต่ก็กล้าแหวกขนบบางอย่างที่แฟนๆ อาจกรี๊ด แต่คนที่ไม่ใช่สาวกอาจไม่ได้อินขนาดนั้น เช่น ฉากเปิดเรื่อง

สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาคแยกนี้ก็ชวนติดตามโดยตลอด ถึงแม้จะแอบงงๆ ตอนแรกที่มีการแนะนำสถานที่และตัวละครไม่คุ้นเคยให้รู้จัก แต่ตัวละครใหม่หลายตัวก็น่าสนใจ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึกทุกตัว แต่ก็พอเข้าใจเหตุและผลของการกระทำ รวมถึงพัฒนาการของตัวละครได้ภายในเวลาจำกัด แน่นอนว่าตอนจบคงเดาได้ไม่ยาก แต่ระหว่างทางนั้นก็สนุกไม่แพ้กัน

 

Source: www.StarWars.com
Source: www.StarWars.com

 

สิ่งที่น่าหลงใหลใน “Rogue One” คือการนำเสนอภาพการอยู่ร่วมกันของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ และมนุษย์ต่างดาวหลากหลายสายพันธุ์ (ยกเว้นอยู่คนละฝ่าย) โดยในปี 2015 “Star Wars Episode VII: The Force Awakens” ได้สร้างสรรค์ตัวละครนำคือ Finn สตอร์มทรูปเปอร์ที่รับบทโดยนักแสดงเชื้อสายแอฟริกันอย่าง John Boyega แถมยังให้ Oscar Isaac นักแสดงเชื้อสายกัวเตมาลา-อเมริกันผู้มารับบทเป็นนักบินมือฉมัง Poe Dameron พูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงดั้งเดิมของเขาเอง มาถึงภาคแยกนี้ก็คล้ายกับจะตอกย้ำเจตนารมณ์ของผู้สร้างถึงการเปิดกว้างทางเชื้อชาติอย่างแท้จริง เราจึงได้เห็นนักแสดงชาวเม็กซิกัน Diego Luna ได้พูดสำเนียงของเขาเองในบทกัปตันแคสเซียน โดยไม่ต้องดัดสำเนียงเพื่อเอาใจผู้ชมประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งเราว่ายิ่งทำให้บทนี้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น (ตัว Diego เองก็ทำให้เรานึกถึง Al Pacino กับ Ewan McGregor ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก) รวมถึงการที่นักแสดงฮ่องกง Donnie Yen มาสวมบทเป็นนักรบตาบอดสุดเท่ ซึ่งมักมากันเป็นแพ็คคู่กับนักฆ่าคู่หู ที่รับบทโดยนักแสดงจีน Jiang Wen

นอกจากความสนุกชวนลุ้น “Rogue One” ยังชวนให้มองไปยังความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบที่ไม่จำกัดอยู่แค่เพียงความรักโรแมนซ์เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวของมิตรภาพ การเชื่อใจกันและกัน รวมถึงการพยายามทำความเข้าใจผู้คนที่ร่วมทางไปกับเรา และท้ายที่สุดแล้วหนังยังแสดงให้เห็นว่า การทำในสิ่งที่เชื่อก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ แม้สิ่งที่เชื่อนั้นจะดูไม่สำคัญหรือเป็นไปไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่เมื่อเราศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแรงกล้าแล้วก็จะเกิดเป็นพลัง และพลังนั้นก็จะสถิตย์อยู่กับเรา