
L’elisir d’amore (เลลิซีร์ ดามอเร่) ถือเป็นโอเปร่าขึ้นหิ้งของอิตาลีที่เขียนโดย กาเอตาโน่ โดนิเซตตี (Gaetano Donizetti) ถ่ายทอดเรื่องราวของ เนโมรีโน่ (Nemorino) หนุ่มชาวนาผู้ไปหลงรัก อดิน่า (Adina) เศรษฐินีสาวเจ้าของที่ดิน โดยมีคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง จ่าเบลคอเร่ (Belcore) เขาจึงต้องแสวงหาทางที่จะชนะใจเธอให้ได้ จนได้มาพบกับยาเสน่ห์ของ ดูลคามาร่า (Dulcamara) หมอเร่ขายยารักษาสารพัดโรคชื่อดัง
เมื่อผู้กำกับ ธาริน ปริญญาคณิต ตัดสินใจนำโอเปร่าสุดเมโลดราม่าเรื่องนี้กลับมาแสดงในอีก 188 ปีถัดมา ณ เมืองที่อยู่ห่างออกไปเกือบซีกโลกอย่างกรุงเทพฯ พร้อมความตั้งใจที่ว่าอยากทำโอเปร่าให้เข้าถึงคนไทยได้มากขึ้น จึงปรับบริบทให้อยู่ในยุคปัจจุบัน โดยมีฉากหลังเป็นร้านค้า และสร้างอาชีพใหม่ให้เนโมรีโน่เป็นหนุ่มส่งอาหารคนซื่อในยูนิฟอร์มสีเขียว อดิน่าก็เป็นสาวมั่นเจ้าของธุรกิจชาไข่มุก ส่วนดูลคามาร่าก็กลายเป็นหมอเซเลบขายยาบำรุงสารพัดสรรพคุณ ไปจนถึงยาเสน่ห์!


แม้จะยังคงเนื้อร้องโอเปร่าภาษาอิตาลีแบบดั้งเดิมเอาไว้ แต่คนดูก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก เพราะน่าจะพอคุ้นเคยกับเรื่องราวความรักระหว่างดอกฟ้ากับหมาวัดสไตล์นี้อยู่แล้ว และเดาตอนจบได้ไม่ยาก ที่น่าชื่นชมก็คือการแสดงและการขับร้องของ 4 นักแสดงนำที่แต่ละคนล้วนเป็นมืออาชีพ มีเสน่ห์ จนทำให้อยากติดตามและเอาใจช่วยตัวละครตลอดเวลา 2 ชั่วโมงกว่า โดยเฉพาะศศินี อัศวเจษฎากุล ที่ถ่ายทอดบทอดิน่าได้อย่างลงตัวทั้งความแซ่บและความน่ารัก รวมถึงด้านดนตรีที่เมโลดี้ไพเราะมาก และวงก็บรรเลงออกมาได้เป็นอย่างดี
อีกปัจจัยที่ชวนดูก็คือการลุ้นว่าจะมีการสอดแทรกสังคมในยุคปัจจุบันเข้าไปในเรื่องได้อย่างไรบ้าง ซึ่งที่เห็นชัดก็คือฉากที่เป็นร้านค้าลายบาร์โค้ดสีสันสดใส เข้ากับเสื้อผ้าของคอรัสที่เน้นลายทางสีขาว-ดำ นอกจากนั้นตัวละครยังมีสมาร์ตโฟนเป็นเพื่อนคู่กายที่นำมาใช้ทำงาน ขายของ เม้าท์มอย และใช้จีบกัน ซึ่งทีมงานก็ได้เสริมอรรถรสในการชมด้วยการสร้างสรรค์มัลติมีเดียมาเป็นภาพแชตในแอปฯ ดัง กระทู้เด็ด และการโพสต์ขายของด้วยไฟล์ GIF ดุ๊กดิ๊ก

สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คนดูเข้าใจเรื่องราวได้ก็คือเซอร์ไตเติล (surtitle) ที่ฉายคำแปลเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษตรงมุมซ้ายของฉาก ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่นักแสดงพูดกันคนเดียวหรือโต้ตอบกันสองคนก็ยังพอเข้าใจได้ แต่แน่นอนว่าด้วยความเป็นโอเปร่า ก็ต้องมีท่อนประสานเสียงที่มาจากทั้งนักแสดงนำและคอรัสด้วย จึงทำให้อ่านคำแปลในช่วงแรกๆ ไม่รู้เรื่องเท่าไร แต่ช่วงท้ายๆ ก็พออ่านเข้าใจแล้วว่าแยกกลุ่มเสียงตามการแบ่งบรรทัด ซึ่งถ้าสามารถทำให้อ่านแล้วเข้าใจชัดเจนว่าท่อนไหนใครร้องก็น่าจะดีขึ้น โดยในรอบที่ไปดู (2 ต.ค.) คิดว่าการแปลทำได้ดีและสนุก แต่ก็มีการสะกดคำผิดเล็กน้อย และมีการกดเซอร์ไตเติลผิดจังหวะ จึงทำให้บางช่วงไม่มีข้อความขึ้น และได้แต่สงสัยว่าตัวละครพูดอะไรในท่อนนั้น
การปรับองค์ประกอบต่างๆ ให้เข้ากับบริบทในยุคปัจจุบันนั้นสร้างสรรค์ดี แต่ในบางจุดก็ทำให้ตั้งคำถาม เช่น ฉากที่ตั้งใจให้เป็นห้างใจกลางเมืองยังไม่ทำให้รู้สึกเท่าไรว่าเรื่องราวในองก์แรกเกิดขึ้นในห้าง เพราะเหมือนว่าร้านชาไข่มุกตั้งอยู่ริมถนนมากกว่าด้วยฉากและการจัดวางตำแหน่งตัวละคร นอกจากนั้นในรอบที่ดูยังรู้สึกว่านักแสดงที่เป็นคอรัสบางคนยังแสดงไม่เข้าที่เท่าไร และดูหลุดไปจากการแสดงนั้นเลย

โดยรวมแล้ว เลลิซีร์ ดามอเร่ เป็นการแสดงที่ดูเพลิน ชวนยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่อง รวมถึงยังสัมผัสได้ถึงพลังและความตั้งใจของทีมงานอย่างเต็มเปี่ยมในการทำโอเปร่าให้เข้าถึงง่าย แม้จะต้องปรับสเกลให้เล็กลงและมินิมัล แต่ก็ยังคงรักษาคุณภาพของการแสดงไว้ได้อย่างน่าชื่นชม และน่าสนับสนุนให้สร้างสรรค์ผลงานมาให้ได้ชมต่อไป
เลลิซีร์ ดามอเร่ จัดแสดงระหว่างวันที่ 2-4 และ 9-11 ตุลาคม 2563 ที่ห้องสตูดิโอ ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลศิลปะการแสดง ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดโดยหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

เครดิตภาพ: https://www.facebook.com/Lelisirbkk