La La Land (2016)

 

La La Land (2016)
Directed by Damien Chazelle

 

เรื่องย่อ:

‘มีอา’ และ ‘เซบาสเตียน’ ต่างเป็นหนุ่มสาวที่จากบ้านมาไล่ตามฝันที่ลอสแองเจลิส นครดาราซึ่งเป็นที่ตั้งของฮอลลีวูด โดย ‘มีอา’ ฝันอยากเป็นนักแสดงมืออาชีพ แต่ตอนนี้แค่จะออดิชั่นให้ได้บทมาแสดงยังยาก เลยต้องทำงานที่ร้านกาแฟประทังชีพ ส่วน ‘เซบาสเตียน’ เองก็ต้องดิ้นรนไม่แพ้กัน เพราะเขาฝันอยากเปิดบาร์ที่บรรเลงเพลงแจ๊สแบบดั้งเดิม แต่ชีวิตจริงนั้นแค่ค่าห้องเขายังแทบไม่มีปัญญาจ่าย

เมื่อทั้งคู่โคจรมาเจอกัน ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แต่ความรักกับการไล่ตามฝันของแต่ละคนนั้นจะเป็นไปได้หรือเปล่าในนครแห่งนี้

 

 

แก้วตาให้: ★★★★★

ทางการถ่ายภาพ “Magic hour” คือช่วงเวลาสั้นๆ ที่เกิดขึ้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก ซึ่งทำให้ท้องฟ้าเป็นสีแดงเรื่อ โดยถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงที่สวยงามสำหรับการบันทึกภาพ

ในความสัมพันธ์ “Magic hour” ก็คงเป็นเพียงช่วงเวลาที่คนสองคนได้ใช้เวลาร่วมกัน แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่มนต์วิเศษของความรักนั้นจะคงอยู่ตลอดไป

และ “La La Land” ก็ทำให้ผู้ชมได้เห็น “Magic hour” ทั้งสองแบบภายในเวลา 2 ชั่วโมง ผ่านความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการไล่ตามฝันของ ‘มีอา’ และ ‘เซบาสเตียน’

 

 

อาจเพราะความบังเอิญที่ทำให้ทั้งคู่ได้พบกันตามจังหวะต่างๆ ของชีวิต และถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างมหัศจรรย์ แม้ทั้งคู่จะพยายามปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบอีกฝ่าย แต่เคมีและความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ก็ทำให้ทั้งคู่ต้องยอมรับว่ามีใจให้มนุษย์ประหลาดอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง

“La La Land” ไม่ได้สะท้อนภาพความรักของคนในแวดวงบันเทิงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกความสัมพันธ์ และอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่า โดยเรื่องนี้ได้มุ่งประเด็นไปยังความรักและการไล่ตามความฝันของแต่ละคน

ทั้ง ‘มีอา’ และ ‘เซบาสเตียน’ ต่างเป็นกำลังใจให้กันและคอยผลักดันให้คนรักทำสิ่งที่ฝันให้กลายเป็นจริง หากไม่ได้รักกัน ก็ไม่รู้ว่าฝันของทั้งคู่จะเป็นไปในทิศทางไหน

แต่หากสุดท้ายเส้นทางแห่งความฝันเป็นคนละทางกับความรัก ก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายว่าจะตัดสินใจเลือกเดินตามฝันหรือเลือกคนที่อยู่เคียงข้าง แต่เส้นทางที่เลือกไปนั้นจะไม่มีวันย้อนกลับมาได้อีก

 

 

ความพิเศษของ “La La Land” นอกจากเคมีที่ลงตัวของนักแสดงนำอย่าง ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling) และ เอ็มมา สโตน (Stone) แล้ว ยังต้องยกเครดิตให้กับผู้กำกับอเมริกันวัย 31 ปี ดาเมียน ซาเชลล์ (Damien Chazelle) ที่เคยกำกับหนังรางวัล “Whiplash” มาแล้ว ที่ทำให้หนังมีกลิ่นอายย้อนยุคเหมือนกำลังดูหนังเพลงยุคก่อน โดยเฉพาะการถ่ายภาพแบบจอกว้าง CinemaScope ซึ่งนิยมใช้ในยุค 50s – 60s รวมถึงเพลงจากฝีมือการแต่งของ Justin Hurwitz เพื่อนซี้ของ Chazelle ที่เคยร่วมงานกันมาหลายเรื่อง ท่าเต้นเก๋ๆ โดย Mandy Moore ผู้สร้างสรรค์ท่าเต้นให้กับรายการแข่งเต้น “So You Think You Can Dance” (อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเธอคือคนร้องเพลง “Crush,” “Stupid Cupid” และเล่นหนัง “A Walk to Remember” นะจ๊ะ) และเทคนิคพิเศษต่างๆ โดยเฉพาะฉากในหอดูดาวที่ทำให้ดูเพ้อฝันสมเป็นนครดารา

อธิบายอย่างไรคงไม่ดีเท่ากับการไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะสนุกและกลมกล่อมด้วยความเป็นโรแมนติก-คอเมดี้ แถมด้วยสารพัดเพลงที่มาช่วยเสริมเรื่องราวตามสไตล์มิวสิคัล และจุดที่พีคที่สุดคงหนีไม่พ้นบทสรุปของเรื่องที่แม้จะเจ็บปวด แต่ก็เป็นความเจ็บปวดที่งดงาม และจะยังคงตรึงอยู่ในใจไปอีกนาน

 

แก้วตา
31.12.16